สั่งชะลอสอบครูผู้ช่วย ''ว 12'' ทั่วประเทศ หลัง ''ครูจ้างเอสพี 2'' ร้องศธ.ขาดสิทธิสพฐ.รุดถกก.ค.ศ.เคลียร์คุณสมบัติ


สั่งชะลอสอบครูผู้ช่วย ''ว 12'' ทั่วประเทศ หลัง ''ครูจ้างเอสพี 2'' ร้องศธ.ขาดสิทธิสพฐ.รุดถกก.ค.ศ.เคลียร์คุณสมบัติ
ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์มติชน 

          เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 17 ธันวาคม ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ชมรมครูอัตราจ้างตามโครงการแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ไทยเข้มแข็ง หรือเอสพี 2 ประมาณ 50 คน นำโดยนายอมรัตน์ ทองสาดี ประธานชมรมครูอัตราจ้าง ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เนื่องจากเสียสิทธิในการสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว12 ซึ่งได้เปิดรับสมัครเมื่อวันที่ 6-12 ธันวาคมที่ผ่านมา และจะมีการสอบในวันที่ 13 มกราคม 2556 โดยมีนายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) รับหนังสือแทน
          นายอมรัตน์กล่าวว่า ครูอัตราจ้างกลุ่มนี้เป็นครูตามโครงการพัฒนาครูทั้งระบบสาขาครูขาดแคลน 5,290 อัตรา และโครงการยกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ 3,972 อัตรา โดยได้รับเงินงบประมาณการจ้างจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และมีการทำสัญญาจ้างปีต่อปี แต่เมื่อครูกลุ่มนี้ไปสมัครสอบเพื่อบรรจุแต่งตั้ง กลับไม่สามารถสมัครสอบได้ เนื่องจากไม่ได้เป็นครูอัตราจ้างตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำหนด ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นเงินนอกงบประมาณ ดังนั้น จึงทำให้ครูกลุ่มนี้เสียสิทธิ และไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งที่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งปฏิบัติการสอนในโรงเรียนเหมือนกัน และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูเหมือนครูอัตราจ้างโครงการอื่นๆ ที่จ้างด้วยเงินโรงเรียนที่เก็บจากผู้ปกครองมาจ้าง
          "อยากขอความอนุเคราะห์ และความเป็นธรรมจากนายพงศ์เทพ ให้ช่วยดำเนินการช่วยเหลือโดยให้ครูกลุ่มนี้มีสิทธิสมัคร และสอบบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการ นอกจากนี้ขอให้พิจารณาให้ครูกลุ่มนี้ได้รับเงินเดือน 15,000 บาทตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้ได้รับเงินย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เหมือนกับลูกจ้างโครงการอื่นๆ อีกทั้งขอให้ครูอัตราจ้างที่ปฏิบัติการสอนครบ 3 ปี ได้บรรจุเข้าสู่ตำแหน่งพนักงานราชการด้วย เพื่อให้เกิดความมั่นคงในหน้าที่การงาน และเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ชมรมครูอัตราจ้างไม่อยากให้ใช้เรื่องที่มาของเงินที่นำมาใช้จ้างครูมาตัดสินว่ามีสิทธิหรือไม่มีสิทธิสมัครสอบ แต่อยากให้ใช้ผลการปฏิบัติงานของครูมาตัดสินจะดีกว่า" นายอมรัตน์กล่าว
          ด้านนายอนันต์กล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวหารือกับเลขาธิการ ก.ค.ศ. โดยขณะนี้ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศแล้ว เพื่อขอให้ชะลอการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าสอบคัดเลือกเป็นครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษออกไปก่อน เพราะต้องรอผลการหารือกับ ก.ค.ศ.ถึงคุณสมบัติของผู้สมัคร กลุ่มของครูธุรการโรงเรียนตามโครงการคืนครูให้นักเรียนและได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการสอน  กลุ่มครูอัตราจ้างตามโครงการเงินกู้เอสพี 2 ปี 2555 และกลุ่มครูพี่เลี้ยงที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการสอน ว่ามีคุณสมบัติที่จะสมัครสอบบรรจุดังกล่าวหรือไม่ ทั้งนี้ ที่หารือเรื่องนี้กับ ก.ค.ศ. เนื่องจากบางเขตพื้นที่การศึกษารับสมัครผู้สมัครสามกลุ่มนี้ แต่บางเขตไม่รับสมัคร ฉะนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เป็นการลิดรอนสิทธิ จึงต้องให้ ก.ค.ศ.พิจารณา และหาก ก.ค.ศ.เห็นว่ามีสิทธิสมัครสอบได้ ก็จะเปิดให้ครูกลุ่มนี้สมัครเพิ่มเติม



จี้สมศ.ปฏิรูประบบประเมินใหม่ ชี้ทุกวันนี้มั่วมาก พลาดเป้า ไม่สะท้อนปัญหาที่แท้จริง


"สมหวัง"จี้สมศ.ปฏิรูประบบประเมินใหม่ ชี้ทุกวันนี้มั่วมาก พลาดเป้า ไม่สะท้อนปัญหาที่แท้จริง

“สมหวัง” สำนึกบาป ระบุระบบประเมินคุณภาพสถานศึกษาของ สมศ.ยังมั่ว การประเมินภายนอก-ภายในยังเป็นไปคนละทิศทาง ไร้เป้าหมาย ไม่สะท้อนปัญหาที่แท้จริง ท้าหากไม่ปรับปรุง ประเมินให้ตายผลสอบนักเรียนก็ไม่กระเตื้อง จี้ปฏิรูประบบการประเมินใหม่
    ศ.กิตติคุณสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ประธานคณะกรรมบริหาร สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ทิศทางและข้อเสนอแนะการวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษา” ในงานประชุมวิชาการ ประจำปี 2555 เรื่อง “การวิจัยสถาบันกับกระบวนการจัดการเรียนรู้สู่อนาคต” จัดโดยสมาคมวิจัยสถาบันและพัฒนาอุดมศึกษา (สวพอ.) ตอนหนึ่งว่า การประเมินคุณภาพทั้งภายในและภายนอกของหน่วยงานต้นสังกัดสถานศึกษา และ สมศ.ยังไม่ตอบโจทย์สังคม เพราะใช้เครื่องมือการประเมินที่วัดแต่ความก้าวหน้าเพื่อการแข่งขันกับนานา ประเทศ แต่กลับไม่สะท้อนความจริงที่เป็นอยู่เพื่อแก้ปัญหา ขณะเดียวกันยังประเมินไปคนละทิศทาง และไร้เป้าหมายปลายทาง
    ประธานบอร์ด สมศ.กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการประเมินของ สมศ. และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ยังทับซ้อนกัน โดยเฉพาะเรื่องการประเมินนักเรียน ดังนั้นทั้ง 2 องค์การควรมาคุยแยกส่วนการประเมินให้ชัดเจน อาทิ สทศ.มีหน้าที่ประเมินนักเรียน สมศ.มีหน้าที่ประเมินผู้บริหารและครู เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คิดว่าเราต้องมีการทบทวนการประกันคุณภาพสถานศึกษาขนานใหญ่ ที่กำหนดชัดเจนเลยว่าใครมีหน้าที่ทำอะไร อีกทั้งควรเข้าประเมินในขณะที่ดำเนินการเรียนการสอน การทำงานอยู่ และใช้เครื่องมือการประเมินที่ถูกต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ
    ประธานบอร์ด สมศ.กล่าวอีกว่า มาตรฐานและตัวบ่งชี้การประเมินคุณภาพสถานศึกษาในปัจจุบัน มีการนำรายละเอียดมากำหนดเป็นมาตรฐานการประเมินมากเกินไป ทำให้มีหลายมาตรฐาน มีการใช้หลายตัวบ่งชี้ จนผู้บริหารจำไม่ได้ และลืมเกณฑ์การประเมิน ดังนั้นจะต้องมีการรวบรวมรายละเอียดเหล่านั้น แล้วสังเคราะห์ให้เหลือน้อยมาตรฐานที่สุด ซึ่งแต่ละมาตรฐานต้องเป็นเรื่องหลักที่ผู้บริหารสามารถจำขึ้นใจเวลาไป ปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม หลักการประเมินคุณภาพที่ดีควรต้องสะท้อนความจริงที่เป็นอยู่เพื่อหาทางแก้ ได้ ไม่ใช่ประเมินแบบผักชีโรยหน้าอย่างปัจจุบัน เพราะประเมินเท่าไหร่ คุณภาพเด็กก็ไม่ดีขึ้น” ศ.กิตติคุณสมหวังกล่าว
    "สมัยผมเป็น ผอ.สมศ. เคยมีคนเสนอให้ สมศ.ทำการประเมินให้กระชับ ใช้เอกสารน้อยชิน แต่ผมไม่เชื่อ แต่ตอนนี้มาคิดได้ก็สาย เพราะผมเกษียณไปแล้ว" ประธาน สมศ.กล่าว
    ขณะที่ ศ.ไพฑูรย์ สินลารัตน นักวิชาการด้านการศึกษาอาวุโส กล่าวว่า ตนได้รวบรวมข้อมูลแนวโน้มความต้องการทักษะต่างๆ สำหรับคนในศตวรรษ 21 ซึ่งมีหลายประเทศและหลายองค์กรได้จัดทำไว้ มาสังเคราะห์ได้ 5 กลุ่ม ดังนี้
1.คนต้องมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง เพราะปัจจุบันแหล่งความรู้ของแต่ละสาขาวิชามีมากจนไม่สามารถศึกษาได้หมดจาก การสอนในห้องเรียน
2.ต้องมีทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เพราะระบบเศรษฐกิจจะไร้พรมแดน
3.ต้องมีทักษะในการแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อสามารถดำเนินชีวิตในโลกแห่งความวุ่นวายได้
4.ต้องมีทักษะในการคิดค้นหรือพัฒนานวัตกรรมที่แปลกใหม่ เหมือนชาติตะวันตกนำสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่มาขายให้เรา และ
5.ต้องมีทักษะในการใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและมีเป้าหมาย.


ครูอัตราจ้างเอสพี2-ครูธุรการ-ครูพี่เลี้ยง ลุ้นสิทธิ์สอบครู-หากเข้าข่ายจะเปิดรับเพิ่ม


"อนันต์" ถกด่วน! ก.ค.ศ.ขอชะลอรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ รอผลหาคุณสมบัติ 3 กลุ๋ม ครูอัตราจ้างเอสพี2 ครูธุรการ และครูพี่เลี้ยงหากเข้าข่ายจะเปิดรับเพิ่ม
     ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.55 ชมรมครูอัตราจ้างตามโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือเอสพี 2 ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ประมาณ 50 คน นำโดยนายอมรัตน์ ทองสาดี ประธานชมรมครูอัตราจ้างฯ เข้ายื่นหนังสือต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ เนื่องจากเสียสิทธิ์ในการเข้าสมัครสอบเพื่อบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูฯ กรณีจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ ในตำแหน่ง "ครูผู้ช่วย" ซึ่งเปิดรับสมัครเมื่อวันที่ 6-12 ธ.ค.55 ที่ผ่านมา และกำหนดสอบวันที่ 13 ม.ค.56 โดยมีนายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) รับหนังสือแทน
     นายอมรัตน์ กล่าวว่า ครูอัตราจ้างกลุ่มนี้ เป็นครูตามโครงการพัฒนาครูทั้งระบบ (สาขาครูขาดแคลน) 5,290 อัตรา และโครงการยกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ 3,972 อัตรา ได้รับเงินงบประมาณการจ้าง จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีสัญญาจ้างปีต่อปี แต่เมื่อครูกลุ่มนี้ไปสมัครสอบเพื่อบรรจุแต่งตั้งฯ กลับไม่สามารถสมัครสอบได้ เนื่องจากไม่ได้เป็นครูอัตราจ้างตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำหนด ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นเงินนอกงบประมาณ (กู้มาจากต่างประเทศ) จึงทำให้เสียสิทธิ์ ทั้งที่ปฏิบัติการสอนในโรงเรียนและมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
     "อยากขอความเป็นธรรมจาก รมว.ศึกษาธิการ ช่วยเหลือให้มีสิทธิ์สมัครและเข้าสอบบรรจุฯ ได้ และขอให้พิจารณาให้ได้เงินเดือนระดับ ป.ตรี 15,000 บาท ตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงให้ครูอัตราจ้าง ที่ปฏิบัติการสอนครบ 3 ปี ได้บรรจุเข้าสู่ตำแหน่งพนักงานราชการ เพื่อความมั่นคงในอาชีพและเป็นขวัญกำลังใจ"นายอมรัตน์ กล่าว
     ด้านนายอนันต์ กล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับ เลขาธิการ ก.ค.ศ. เพื่อขอให้ทำหนังสือแจ้งไปยังเขตพื้นที่ฯ ทั่วประเทศ ให้ชะลอการประกาศรายชื่อผู้ที่มีสิทธิ์เข้าสอบคัดเลือกเป็นครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษออกไปก่อน เพราะต้องรอผลการหารือกับ ก.ค.ศ. ถึงคุณสมบัติของผู้สมัคร กลุ่มครูธุรการ ตามโครงการคืนครูให้นักเรียน และได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการสอน, กลุ่มครูอัตราจ้างเอสพี2 ปี 2555 และกลุ่มครูพี่เลี้ยง ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการสอน ซึ่งการหารือเรื่องนี้ไปที่ ก.ค.ศ.เป็นเพราะว่าบางเขตพื้นที่ฯ รับสมัครผู้สมัคร 3 กลุ่มนี้ แต่บางเขตพื้นที่ฯ ไม่รับ ฉะนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เป็นการริดรอนสิทธิ์จึงต้องให้ ก.ค.ศ.พิจารณา และหาก เห็นว่ามีสิทธิ์สมัครสอบได้ ก็จะเปิดให้กลุ่มนี้สมัครเพิ่มเติม 



100 อันดับโรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศไทย


100 อันดับโรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศไทย
 ลำดับโรงเรียนในประเทศไทยที่ดีที่สุดโดยวัดจากผลเอนทรานซ์ โควตารับตรงโอลิมปิกวิชาการ
 1. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
 2. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
 3. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
 4. โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนีย์)
 5. โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
 6. โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง
 7. โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา
 8. โรงเรียนสาธิต มศว. ปทุมวัน
 9. โรงเรียนอัสสัมชัญ
 10. โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
 11.โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
 12.โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี
 13.โรงเรียนสตรีวิทยา
 14.โรงเรียนเทพศิรินทร์
 15.โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี
 16.โรงเรียนสาธิต ม.เชียงใหม่
 17.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่
 18.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช
 19.โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย
 20.โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 21.โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
 22.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
 23.โรงเรียนนครสวรรค์
 24.โรงเรียนหอวัง
 25.โรงเรียนวัดสุทธิวราราม
 26.โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
 27.โรงเรียนสุราษฎร์ธานี
 28.โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จ.ขอนแก่น
 29.โรงเรียนสตรีวิทยา2
 30.โรงเรียนพิริยาลัย จ.แพร่
 31.โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย
 32.โรงเรียนสาธิต ม.ขอนแก่น
 33.โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จ.เพชรบุรี
 34.โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย
 35.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ตรัง
 36.โรงเรียนสาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.ปัตตานี
 37.โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว
 38.โรงเรียนโยธินบูรณะ
 39.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี
 40.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
 41.โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน
 42.โรงเรียนนารีรัตน์ จ.แพร่
 43.โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
 44.โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จ.นนทบุรี
 45.โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย
 46.โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา
 47.โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จ.ยะลา
 48.โรงเรียนศึกษานารี
 49.โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จ.พิษณุโลก
 50.โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร
 51.โรงเรียนสตรีศรีน่าน จ.น่าน
 52.โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย
 53.โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี
 54.โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนด์
 55.โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา
 56.โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม
 57.โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ
 58.โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์
 59.โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.สตูล
 60.โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์
 61.โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล
 62.โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนีย์)2
 63.โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
 64.โรงเรียนชลราษฎรอำรุง
 65.โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
 66.โรงเรียนพัทลุง
 67.โรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม
 68.โรงเรียนลำปางกัลยาณี
 69.โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
 70.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ บดินทรเดชา
 71.โรงเรียนสุรวิทยาคาร จ.สุรินทร์
 72.โรงเรียนเซนต์โยเชฟคอนแวนด์
 73.โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง
 74.โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม
 75.โรงเรียนสารคามวิทยาคม จ.มหาสารคาม
 76.โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี
 77.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
 78.โรงเรียนระยองวิทยาคม
 79.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทรบุรี
 80.โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม
 81.โรงเรียนทวีธาภิเศก
 82.โรงเรียนชลกันยานุกูล
 83.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎนครปฐม
 84.โรงเรียนมารีย์วิทยา จ.นครราชสีมา
 85.โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย
 86.โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร
 87.โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
 88.โรงเรียนสายน้ำผึ้ง
 89.โรงเรียนเบญจมราชาลัย
 90.โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช
 91.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎพระนครศรีอยุธยา
 92.โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี
 93.โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร
 94.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ หอวัง นนทบุรี
 95.โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี
 96.โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี
 97.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช
 98.โรงเรียนสาธิต(พิบูลย์บำเพ็ญ) ม.บูรพา
 99.โรงเรียนวิสุทธังษี จ.กาญจนบุรี
 100.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า



ว้าว! >> ครูได้ลุ้นของขวัญปีใหม่ที่รอคอยกฎ ก.ค.ศ.เลื่อนไหลเงินเดือน


ว้าว! >> ครูได้ลุ้นของขวัญปีใหม่ที่รอคอยกฎ ก.ค.ศ.เลื่อนไหลเงินเดือน
ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 18 ธ.ค. 2555 (กรอบบ่าย)

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักเลขาธิการ ครม. ได้ส่งเรื่องกลับมายังสำนักงาน ก.ค.ศ.แล้ว ซึ่งตนจะนำเสนอนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. เพื่อลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ต่อไป
          เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อไปว่า สาระสำคัญของร่างกฎ ก.ค.ศ.ดังกล่าว จะทำให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงของอันดับเงินเดือนเดิมสามารถไปรับเงินเดือนในอันดับถัดไปได้อีก 1 อันดับ ซึ่งก่อนหน้านี้จะไม่สามารถเลื่อนไหลไปรับเงินเดือนในแท่งเงินเดือนที่สูงกว่าได้ โดยผู้ที่ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงของอันดับ คศ.2 จะได้รับเงินเดือนในอันดับ คศ.3 ในอัตราเดิม โดยให้มีผลบังคับใช้ถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ส่วนผู้ที่ได้รับเงินเดือนขั้นสูงของอันดับ คศ.3 จะไปรับเงินเดือนในอันดับ คศ.4 ในอัตราเดิม และผู้ที่ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงของอันดับ คศ.4 ก็จะไปรับเงินเดือนในอันดับ คศ.5 ในอัตราเดิม แต่ถ้าไม่มีขั้นหรืออัตราเงินเดือนที่ได้รับอยู่เดิมก็ให้ได้รับขั้นหรืออัตราเงินเดือนใกล้เคียงที่สูงกว่า ทั้งนี้ให้มีผลย้อนหลังก่อนวันที่ 1 เม.ย. 2554 ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ครูรอคอยมานาน และทันทีที่มีการประกาศราชกิจจานุเบกษาก็จะเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา
          นางรัตนา ยังกล่าวถึงกรณีที่ครูร้องเรียนว่าได้ส่งผลงานทางวิชาการเพื่อขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ แต่ไม่มีผู้อ่านผลงาน จึงทำให้ครูจำนวนมากไม่ได้รับการพิจารณาให้มีและเลื่อนวิทยฐานะว่า หากเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ ทาง ก.ค.ศ. จะเป็นผู้พิจารณาผลงานทางวิชาการเอง ซึ่งไม่มีปัญหาคั่งค้างใด ๆ โดยขณะนี้มีผู้ที่รออ่านผลงานเพียง 30 รายเท่านั้น แต่หากเป็นวิทยฐานะชำนาญการ และชำนาญการพิเศษ จะเป็นหน้าที่ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่จะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอ่านผลงาน โดยผู้ขอ 1 คนต้องใช้กรรมการผู้อ่านเพื่อประเมินผลงาน 3 คน ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้อ่านรายละ 1,000 บาท ดังนั้น 1 คนจะต้องมีค่าใช้จ่าย 3,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ต้นสังกัดของครูจะต้องตั้งงบประมาณให้แก่เขตพื้นที่ฯ ดังนั้นการไม่มีผู้อ่านผลงานอาจเป็นเพราะต้นสังกัดไม่ได้ตั้งงบฯ เพื่อที่จะมาดำเนินการในส่วนนี้ แต่เมื่อรู้ปัญหาแล้วก็ควรจะตั้งงบฯ ให้.



ศธ.ซื้อแท็บเล็ต ป.1 ม.1 ปี 56 เน้นความต้องการครู-นร.


ศธ.ซื้อแท็บเล็ต ป.1 ม.1 ปี 56 เน้นความต้องการครู-นร.
ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 17 ธันวาคม 2555

นายกฯ มอบ ศธ.ซื้อแท็บเล็ต ป.1 ม.1 ปี 56 ขณะที่ “โอฬาร” ระบุ สเปกแท็บเล็ตยึดความต้องการของครู นร.เป็นหลัก ไม่ตั้งเป้าเทคโนโลยี ชี้ ราคาแท็บเล็ต ป.1 ไม่สูงกว่า 2,600 บาท แต่ ม.1 สูงกว่าเล็กน้อย ยันเด็กทันใช้เปิดเทอม

          นายโอฬาร ไชยประวัติ ประธานคณะกรรมการกำหนดทีโออาร์ (TOR) แท็บเล็ตประจำปีการศึกษา 2556 จำนวน 1.69 ล้านเครื่องสำหรับประถมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 1 เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการจัดทำสเปกของเครื่องแท็บเล็ต ป.1 และ ม.1 โดยจะยึดความต้องการของผู้ใช้ คือ ครูและนักเรียน เป็นตัวกำหนดสเปก ซึ่งสำหรับชั้น ป.1 ครูและนักเรียนมีประสบการณ์การใช้เครื่องแล้วมากว่า 2-3 เดือน เพราะฉะนั้น สามารถที่จะรวบรวมเอาความต้องการของครูและนักเรียนมาเป็นแนวทางในการกำหนดสเปกได้ ส่วนแท็บเล็ตชั้น ม.1 นั้น ขณะนี้ก็มีการนำร่องการใน 5 โรงเรียนมาประมาณ 2 เดือนแล้วเช่นกัน อาทิ โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการสนับสนุนอุปกรณ์ ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ซึ่งจะนำผลการนำร่องมาเป็นข้อมูลในการกำหนดสเปกแท็บเล็ตชั้น ม.1 ด้วย
          อย่างไรก็ตาม การกำหนดสเปกจะไม่ตั้งธงว่าต้องเป็นเทคโนโลยีระดับใด เพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ถ้ากำหนดสเปกไว้สูงใช้เทคโนโลยีแบบก้าวหน้ามาก ๆ ราคาก็จะสูงอาจเกิดปัญหาต่องบประมาณได้ เพราะฉะนั้น จะยึดความต้องการของครูและนักเรียนเป็นตัวกำหนดสเปก เลือกระดับเทคโนโลยีที่เป็นไปได้ในราคาที่พอเหมาะ
          “คิดว่าต้นทุนจะไม่สูงไปค่าใช้จ่ายเดิมในการจัดซื้อปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 85 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 2,600 บาท/เครื่อง ซึ่งรวมค่าจัดส่งแล้ว ส่วนแท็บเล็ต ม.1 อาจจะมีต้นทุนที่สูงกว่าเล็กน้อย เพราะต้องใช้สเปกที่สูงกว่าประถม ส่วนวิธีการจัดซื้อขึ้นอยู่กับนโยบายโครงการ 1 คอมพิวเตอร์พกพาต่อ 1 นักเรียน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า การจัดซื้อแท็บเล็ตปี 2556 นั้น จะดำเนินการเสร็จเรียบร้อยและจัดส่งให้เด็กทันก่อนเปิดเทอมไม่ล่าช้ากว่า 6 เดือนเหมือนปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพราะเรามีประสบการณ์ของปีที่ผ่านมา” นายโอฬาร กล่าวและว่า ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดย รมว.ศึกษาธิการ ดำเนินการจัดซื้อแท็บเล็ตในปี 2556


ด่วน!!! สพฐ.แจ้งให้ เขตพื้นที่ทุกสังกัด ชลอการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ

สพฐ แจ้งให้ทุกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา/สศศ. ชลอการประกาศสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์คัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการคูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือ มีเหตุพิเศษ รายละเอียดดังแนบ

ชลอประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบครูกรณีพิเศษ2555

ขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือราชการจาก สพร.


ที่มาของข่าว : facebook สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.) สพฐ. วันที่ 15 ธันวาคม 2555

ตกเบิก เงินเดือน ครูเอกชน7หมื่นคน รับ11,680บาทเริ่มเดือนมกราคม


นายชาญวิทย์ ทับสุพรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ กช. เปิดเผยภายหลังการประชุม กช. ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนในโรงเรียนเอกชน เพื่อปรับเงินเดือนครูวุฒิปริญญาตรีที่ยังไม่ถึง 15,000 บาท จำนวน 70,353 คน ให้ได้รับเงินเดือน 11,680 บาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณปี 2556 ประมาณ 1,858 ล้านบาทแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้เสนองบประมาณเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวเพื่อใช้ปรับเงินเดือนในระดับอนุบาล-ประถมศึกษา หัวละ 601 บาทต่อปี และระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา หัวละ 751 บาทต่อปี จากเดิมอนุบาลและประถมศึกษา อุดหนุนสมทบเงินเดือนครูรายหัวละ 4,406 บาท มัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา อุดหนุนรายหัวละ 5,509.50 บาท ซึ่งขณะนี้กำลังรอการจัดสรรงบประมาณและจะสามารถจัดสรรเงินส่วนนี้เพื่อให้ตกเบิกย้อนหลัง 3 เดือนให้ในเดือนมกราคม 2556 ส่วนค่าครองชีพชั่วคราว 1,160 บาทต่อเดือน ที่รัฐจะจัดสรรให้ครูโรงเรียนเอกชนที่เงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาท จำนวน 87,000 คน ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณให้แล้วประมาณ 2,000 กว่าล้านบาทนั้น ยังไม่ได้เบิกจ่ายเพราะรอตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง

"ส่วนในปี 2557 ที่รัฐกำหนดให้ปรับเงินเดือนระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท ที่ประชุม กช.ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ที่เป็นผู้แทนร่วมกับสำนักงบประมาณ และผู้แทนครูโรงเรียนเอกชนได้เข้าหารือกับคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎรที่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาร่วมกันศึกษาผลกระทบและจะพิจารณาเงินช่วยเหลือตามอัตราเงินเดือนใหม่ และหากได้ผลอย่างไรก็ให้เสนอที่ประชุมพิจารณาครั้งต่อไป" รองเลขาธิการ กช.กล่าว และว่า ที่ประชุมยังได้พิจารณาร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์สำหรับโรงเรียนในระบบ พ.ศ.... ที่ได้กำหนดอัตราการหักเงินร้อยละ 3 ของเงินเดือนสะสมเข้ากองทุนและโรงเรียนจะอุดหนุนเพิ่มอีก 3% และรัฐอุดหนุนเพิ่มอีก 6% รวมทั้งหมด 12% โดยที่ประชุมได้ให้คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ไปพิจารณาร่างกฎกระทรวงอีกครั้งหนึ่งว่าควรต้องกำหนดเพดานเงินสูงสุดที่จะหักเงินครู ผู้อำนวยการ และบุคลากรโรงเรียนเอกชนเข้ากองทุนนี้ได้สูงสุดเดือนละเท่าไร รวมทั้งควรศึกษาผลดีผลเสียด้วย ซึ่งในเบื้องต้นที่ประชุมเห็นว่าควรกำหนดเพดานสูงสุดที่ 1,500 บาทหรือเงินเดือนสูงสุด 50,000 บาท 

นายชาญวิทย์กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้เห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การดำเนินการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ของสถานศึกษาเอกชน ประเภทอาชีวศึกษา เพื่อให้นักศึกษาในอาชีวศึกษาเอกชนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) อายุไม่ต่ำ 18 ปี และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีสามารถนำผลงาน ประสบการณ์วิชาชีพที่ทำอยู่มาเทียบโอนเพื่อเทียบหน่วยกิตได้ โดยจะใช้แนวทางเดียวกับการเทียบโอนของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่จะทำให้นักศึกษาได้จบการศึกษาเร็วขึ้น ทั้งนี้ สช.จะประกาศรายละเอียดในการเทียบโอนและสถานศึกษาที่จะรับเทียบโอนให้ทราบต่อไป


นาซาปล่อยคลิปไขข้อข้องใจ ทำไมโลกไม่แตก 21 ธ.ค. นี้

กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในหน้าสื่อขณะนี้เลยทีเดียว สำหรับวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ที่คนหลายกลุ่มเชื่อกันมาตลอดว่าเป็นวันสิ้นโลก ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญออกมายืนยันแล้วว่าโลกไม่แตกแน่นอน แต่เรื่องนี้ก็ยังได้รับการพูดถึงอยู่ไม่สร่างซา ล่าสุด นาซ่าได้เปิดเผยคลิปวิดีโอน่าสนใจออกมาคลิปหนึ่ง เป็นความจริงเกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

            คลิปวิดีโอดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นคลิปวิดีโอที่มีชื่อว่า"The World Didn''t End Yesterday" หรือ โลกไม่ได้แตกเมื่อวานนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วน่าจะจัดทำขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ในวันที่ 22 ธันวาคม 2012 หรือก็คือหลังวันโลกแตก 1 วัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ ๆ ถึงได้เผยแพร่ออกมาก่อนกำหนดถึง 11 วัน

            แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดคงไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่เนื้อหาภายในคลิปวิดีโอนี้มากกว่า โดยมีการไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลก และลบล้างความเชื่อเรื่องโลกแตกที่เคยมีมาตลอดได้ดีเลยทีเดียว

            เนื้อหาในคลิปเริ่มต้นขึ้นด้วยประโยคที่ว่า "ถ้าหากพวกคุณได้ดูคลิปวิดีโอคลิปนี้ นั่นหมายถึงว่า โลกของเราไม่ได้อวสานไปเมื่อวานนี้" ก่อนที่จะอ้างคำยืนยันของดอกเตอร์จอห์น คาร์ลสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์สมัยโบราณว่า ตลอด 35 ปีที่เขาศึกษาด้านดาราศาสตร์โบราณ และได้ศึกษาปฏิทินมายา เขาพบว่าปฏิทินมายาถูกนำไปตีความผิดต่าง ๆ นานามาหลายปีแล้ว จริง ๆ แล้วปฏิทินมายาไม่ได้ระบุเลยสักนิดว่า โลกจะถึงกาลอวสานในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ มันเป็นแค่การสิ้นสุดรอบปฏิทินรอบหนึ่งตามหลักเทววิทยาของชาวมายันเท่านั้น เปรียบเสมือนกับปฏิทินรอบปีของคนทั่วโลก ที่สิ้นสุดที่วันที่ 31 ธันวาคม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลังจากวันนั้นจะไม่มีวันใหม่ หรือจะเป็นวันที่โลกแตก

            นอกจากนี้ นาซายังเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับดาวนิบิรุ ที่ชาวสุเมเรียนค้นพบตั้งแต่โบราณกาล และมีความเชื่อว่าดาวดวงนี้จะชนกับโลกในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ว่า ไม่มีดาวนิบิรุตามความเชื่อแต่อย่างใด และเร็ว ๆ นี้ ก็จะไม่มีดาวหรืออุกกาบาตที่ไหนพุ่งชนโลกด้วย เพราะถ้าหากจะมีดาวหรืออุกกาบาตพุ่งชนโลกจริง ๆ ป่านนี้คนบนโลกคงจะได้เห็นจุดเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนฟ้าช้า ๆ และขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ให้เราได้เห็นเป็นเวลานานนับสัปดาห์หรือเป็นเดือนเลยทีเดียว ที่สำคัญ หากมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น นาซาก็คงจะตรวจสอบพบก่อนมันจะชนโลกล่วงหน้าได้เป็นสิบปีร้อยปี

            ส่วนความเชื่อที่ว่า แม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนขั้ว จนทำให้ทุกอย่างบนพื้นผิวโลกแปรปรวน เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ไปพร้อม ๆ กันทั่วโลกนั้น ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้แต่อย่างใด และถ้าหากจะเกิดขึ้น ก็ต้องใช้เวลานานนับล้าน ๆ ปี ไม่ได้เกิดขึ้นคราวเดียวอย่างที่มีข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้ ที่สำคัญ ระหว่างที่แกนแม่เหล็กโลกเปลี่ยนขั้ว สิ่งมีชีวิตบนโลกก็จะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยด้วย
            ดังนั้น จึงไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องโลกแตก แต่เป็นเรื่องโลกร้อนที่เห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นทุกวัน
 เราจึงควรร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ดีกว่า เพราะโลกร้อนนี่แหละ ที่เป็นตัวการทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทั่วโลก และเกิดภัยพิบัติทั่วโลก จนนำมาซึ่งความสูญเสียดังที่เคยเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา






รมว.ศึกษาธิการ มอบประกาศเกียรติคุณบุคคล หน่วยงาน และโครงการดีเด่นของชาติ ประจำปี 2555


เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีงานประกาศเกียรติคุณบุคคล หน่วยงานและโครงการดีเด่นของชาติ ประจำพุทธศักราช 2555 โดยนายพงษ์เทพ กล่าวว่า ในปีนี้มีจำนวน 6 ราย ซึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาคัดเลือกบุคคล หน่วยงาน และโครงการดีเด่นของชาติ ในคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้คัดเลือกและได้นำผลงานและประวัติของผู้ได้รับการคัดเลือกเผยแพร่ไปยังหน่วยงานของภาครัฐ เอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาต่างๆเพื่อให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและเป็นแบบอย่างอันดีแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไปได้ยึดถือเป็นแบบย่างในการประพฤติปฏิบัติสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ

นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการคัดเลือกบุคคล หน่วยงาน และโครงการดีเด่นของชาติ ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 จนถึงปัจจุบัน โดยมีแนวทางพิจารณาและหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก คือ จะต้องเป็นผลงานดีเด่นของหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ที่ได้กระทำจนเห็นผลงานเด่นชัด เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศ สามารถยึดถือเป็นแบบอย่างได้ ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการฯได้พิจารณาคัดเลือกบุคคล หน่วยงาน และโครงการดีเด่นของชาติไปแล้วจำนวน 221 ราย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บุคคล หน่วยงาน และโครงการดีเด่นของชาติ จำนวน 6 ราย ได้แก่ 
1. สาขาพัฒนาสังคม ประเภทหน่วยงาน ได้แก่ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

2. สาขาพัฒนาสังคม ประเภทโครงการ ได้แก่ โครงการฝึกอบรมเยาวชนสัมพันธ์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล

3. สาขาพัฒนาเศรษฐกิจ ประเภทหน่วยงาน ได้แก่ บริษัท แปลนครีเอชั่นส์ จำกัด

4. สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเภทบุคคล ได้แก่ รองศาสตราจารย์อภิชาต วรรณวิจิตร

5. สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเภทโครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาเพาะเลี้ยงไรฝุ่น จากงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และ

6. สาขาเผยแพร่เกียรติภูมิของไทย ประเภทบุคคล ได้แก่ พลเรือตรีมงคล แสงสว่าง



นักเรียนเอกชนรอตกเบิกเงินอุดหนุนรายหัว ได้ย้อนหลัง 3 เดือน ใน ม.ค.56


นักเรียนเอกชนรอตกเบิกเงินอุดหนุนรายหัว ได้ย้อนหลัง 3 เดือน ใน ม.ค.56 ขณะที่ ครู ร.ร.ราษฎร์รอรับค่าครองชีพ 1,160 บาท ระบุปรับเงินเดือน ครูป.ตรีเป็น 15,000บ. เข้าหารือที่ประชุมอีกครั้ง …

นายชาญวิทย์ ทับสุพรรณ รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนในโรงเรียน เอกชน เพื่อปรับเงินเดือนครูวุฒิปริญญาตรีที่ยังไม่ถึง 15,000 บาท  จำนวน 70,353 คน ให้ได้รับเงินเดือน เดือนละ 11,680 บาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณปี 2556 ประมาณ 1,858 ล้านบาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้เสนองบประมาณเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวเพื่อใช้ปรับเงินเดือนในระดับ อนุบาล-ประถมศึกษาหัวละ 601 บาทต่อปี และระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา หัวละ 751 บาทต่อปี ขณะนี้กำลังรอการจัดสรรงบฯ และจะจัดสรรเงินส่วนนี้ให้ตกเบิกย้อนหลัง 3 เดือน ให้ในเดือน ม.ค. 2556 ส่วนค่าครองชีพชั่วคราว 1,160 บาทต่อเดือน ที่รัฐจะจัดสรรให้ครูโรงเรียนเอกชน 87,000 คน ยังไม่ได้เบิกจ่ายรอตรวจสอบความถูกต้อง

นายชาญวิทย์ กล่าวอีกว่า ส่วนปี 2557 ที่รัฐกำหนดให้ปรับเงินเดือนปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท ที่ประชุมมอบให้ สช.ร่วมกับสำนักงบประมาณ และผู้แทนครูโรงเรียนเอกชนเข้าหารือกับคณะอนุกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรศึกษา ผลกระทบ และจะพิจารณาเงินช่วยเหลือตามอัตราเงินเดือนใหม่ หากได้ผลอย่างไรก็ให้เสนอที่ประชุมพิจารณาอีกครั้ง

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินสะสมเข้ากองทุน สงเคราะห์สำหรับโรงเรียนในระบบ พ.ศ. ...ที่ได้กำหนดอัตราการหักเงินร้อยละ 3 ของเงินเดือนสะสมเข้ากองทุน และโรงเรียนจะอุดหนุนเพิ่มอีก 3% และรัฐอุดหนุนเพิ่มอีก 6% รวมทั้งหมด 12% โดยที่ประชุมได้ให้คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ไปพิจารณาร่างกฎกระทรวงฯอีกครั้งหนึ่งว่าควรต้องกำหนดเพดานเงินสูงสุดที่จะหักเงินเข้ากองทุนนี้ได้ สูงสุดเดือนละเท่าไร ซึ่งในเบื้องต้นที่ประชุมเห็นว่าควรกำหนดเพดานสูงสุดที่ 1,500 บาท หรือเงินเดือนสูงสุด 50,000 บาท.



จัดสรรเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 เพื่อให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด

จัดสรรเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 เพื่อให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 


จัดสรรงบประมาณปี2556


ไฟล์ที่เกี่ยวข้อง จัดสรรเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 เพื่อให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดทำแผนปฏิบัติการสถานศึกษาและการนำแผนปฏิบัติการสู่การปฏิบัติ (13/12/2555)

ดาวน์โหลดรายละเอียดทั้งหมด 
คลิกhttp://www.plan.obec.go.th/ewt_dl_link.php?nid=1065&filename=index

ขอบคุณข้อมูลจาก  --> 
ศูนย์ปฏิบัติการ สพฐ. สำนักนโยบายและแผน สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ วันที่ 13 ธันวาคม 2555


เผยโบนัส "ขรก.กทม." ปีนี้เกือบ2พันล้าน-สายแพทย์-อนามัยอนุมัติจ่ายเยอะสุด


เผยโบนัส "ขรก.กทม." ปีนี้เกือบ2พันล้าน-สายแพทย์-อนามัยอนุมัติจ่ายเยอะสุด 

 วันที่ 13 ธ.ค. ที่ศาลาว่าการกทม. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงบประมาณกทม. ได้ออกหนังสือ (บันทึกข้อความ) ด่วนที่สุด เวียนแจ้งผู้บริหารและทุกหน่วยงานในสังกัด กทม.ให้ทราบเรื่องการขออนุมัติจัดสรรเงินสำหรับเบิกจ่ายเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณพ.ศ.2555 ภายหลังจากเมื่อ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ให้ความเห็นชอบอัตราและแนวทางการจัดสรรเงินรางวัลดังกล่าวตามระดับผลการปฏิบัติราชการของแต่ละหน่วยงานตามผลการประเมิน (คะแนน) 

 โดยหน่วยงานที่ได้คะแนนตั้งแต่ร้อยละ 90 ขึ้นไปจะได้รับเงินรางวัล 1.5 เท่าของเงินเดือนและค่าจ้างประจำของข้าราชการ-ลูกจ้างประจำของหน่วยงาน/ส่วนราชการ ตลอดจนข้าราชการครู (สังกัด กทม.) ซึ่งกำหนดให้ทุกหน่วยงานต้องดำเนินการเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ ซึ่งล่าสุดสำนักงบประมาณ กทม.ได้รับการประสานจากแต่ละหน่วยงานเพื่อแจ้งผลการคำนวณเงินรางวัลประจำปีฯ ครบทุกหน่วยงานและได้รวบรวมเสร็จแล้วรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,890,813,300 บาท ทั้งนี้ ได้รับความเห็นชอบและอนุมัติทั้งจากปลัด กทม.และผู้ว่าฯ กทม.เป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา

 ทั้งนี้ ในส่วนของหน่วยงานระดับสำนัก 19 สำนัก (16 สำนักและ 3 สำนักงาน) มียอดอนุมัติจัดสรรเงินรางวัลและเงินช่วยเหลือสำหรับผลการปฏิบัติราชการประจำปี 55 สรุปรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 685,288,500 บาท

โดยสำนักที่มีการขอโบนัสมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 
1.สำนักการแพทย์ 135,018,200 บาท
2.สำนักอนามัย 127,933,000 บาท
3.สำนักสิ่งแวดล้อม 78,727,900 บาท
4.สำนักการระบายน้ำ 70,643,000 บาท และ
5.สำนักการโยธา 58,404,700 บาท
เงินโบนัสข้าราขการ

ขณะที่กลุ่มสำนักงานเขตทั้ง 50 เขตนั้น ได้รับอนุมัติรวม 1,205,524,800 บาท แบ่งเป็นเงินรางวัลสำหรับข้าราชการ กทม.สามัญและลูกจ้างประจำ 618,794,300 บาท และข้าราชการครู กทม.และลูกจ้างประจำอีก 586,730,500 บาท



เรื่องเดียวกันรึเปล่า คอลัมน์เลาะเลียบคลองผดุงฯ โดยตุลย์ ณ ราชดำเนิน


เรื่องเดียวกันรึเปล่า คอลัมน์เลาะเลียบคลองผดุงฯ
ตุลย์ ณ ราชดำเนิน tulacom@gmail.com

ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาการศึกษาไทย ของสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย ต่อเสนาบดีการศึกษาไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ใน 5 เรื่อง แม้จะเป็นมุมมองเดิมที่หลายฝ่ายเคยเรียกร้องขอให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการมาหลายครั้งหลายหน แต่มักจะกลายเป็นหนังคนละม้วนทุกทีไป

มาครั้งนี้คงมิใช่ยาหอมแบบที่ผ่านมา พอจะวางใจได้ เมื่อดูความจริงใจจากท่านเสนาบดี ที่ยอมรับถึงความสำคัญและเอ่ยปากฝากอนาคตประเทศไทยไว้กับคุณครูทั้งหลาย 

แถมย้ำว่าพูดเช่นนี้ไม่ใช่พูดเอาใจครู แต่พูดที่ใดก็พูดเช่นนี้ เพราะครูเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพของคน ในการสร้างเด็กรุ่นใหม่ให้กับประเทศที่จะยืนบนเวทีโลกนี้ได้อย่างสง่างาม เพราะครูแต่ละท่านมีประสบการณ์มากมาย สัมผัสกับเรื่องการศึกษามาโดยตลอด ย่อมเห็นแนวทางช่วยให้ดีขึ้นได้

ฟังแล้วอิ่มอกอิ่มใจ เป็นปลื้มอกปลื้มใจ จนแทบอยากรีบกลับไปทำหน้าที่สอนในบัดดลทีเดียว

แต่ขณะเดียวกัน เสนาบดีการศึกษาก็ขอให้คุณครูทั้งหลายร่วมผลักดันและดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเช่นกัน ด้วยการขอให้เร่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาของไทย คุณภาพนักเรียนนักศึกษา การประเมินการอ่าน การใช้ภาษาอังกฤษ ร่ายยาวไปถึงเรื่องของประชาธิปไตย เสียใจ และชื่นชมกับครูชายแดนใต้ 

ส่วนข้อเสนอของคุณครูในวันนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่า ขอการจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้เท่าเทียมกันทั้งชนบทและในเมือง 

ขอให้จัดสรรอัตรากำลังครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เพียงพอ โดยเฉพาะอัตราข้าราชการครูเกษียณก่อนกำหนดและนโยบายครูคืนถิ่น ควรคืนอัตราและตำแหน่งให้สถานศึกษาโดยเร็ว ล้วนมีผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างมาก 

การรวบอำนาจการศึกษา เกิดปัญหามากมาย การปรับปรุงหลักสูตร ในระดับประถมศึกษามีสาระวิชามากเกินไปจนเด็กกลัวโรงเรียน ล้วนมีผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษา

ปัญหาพิเศษใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สูญเสียครูและบุคลากรทางการศึกษา 155 คน บาดเจ็บ 153 คน นักเรียนเสียชีวิต 43 คน และทรัพย์สินอีกมากมายคำนวณไม่ได้ ต้องมีมาตรการสร้างขวัญกำลังใจ การปูนบำเหน็จให้สมเกียรติ ชัดเจนและเป็นเอกภาพ 

คิดไปคิดมา พูดคนละเรื่องเดียวกันรึเปล่า 




เฮ! ครูเอกชน เตรียมปรับเงินเดือน 15,000 บาท - แถมตกเบิกย้อนหลัง 3 เดือนใน ม.ค. 56

เฮ! ครูเอกชน เตรียมปรับเงินเดือน 15,000 บาท - แถมตกเบิกย้อนหลัง 3 เดือนใน ม.ค. 56
เรียบเรียงโดยครูวันดีดอทคอม

นับเป็นข่าวดีอีกครั้ง สำหรับครูเอกชนครับ เพราะเมื่อวันนี้ (13 ธันวาคม 2555)  นายชาญวิทย์ ทับสุพรรณ รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการกช. เปิดเผยภายหลังการประชุม กช. ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาถึงแนวทางการปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนใน โรงเรียนเอกชน เพื่อปรับเงินเดือนครูวุฒิปริญญาตรีให้ได้รับเงินเดือนละ 15,000 บาทตามนโยบายรัฐบาลนั้น ขณะนี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณปี 2556 แล้ว ประมาณ 1,858 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินสำหรับจ่ายเงินเดือนให้กับครู 15,000 บาท โดยผ่านเงินรายหัวเด็ก และจะได้รับตกเบิกย้อนหลัง อีก จำนวน 3 เดือนในเดือน มกราคม 2556 ที่จะถึงนี้ 

สำหรับกลุ่มครูเอกชนที่เงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาทนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) จะได้รับการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว จำนวน 1,160 บาท ต่อเดือน โดยมีครูเอกชนกลุ่มนี้ จำนวนกว่า 87,000 คน ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาให้แล้ว จำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้เบิกจ่าย เนื่องจากรอการตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง

ขณะที่บอร์ดเห็นชอบกำหนดเพดานจ่ายเงินสมทบ 3% ของครูเอกชนเข้ากองทุนสงเคราะห์ที่ 1,500 บาทหรือเงินเดือนสูงสุด 5.5 หมื่น


/